เจาะรายละเอียดของ Kawasaki Z7 Hybrid และ Ninja 7 Hybrid มอเตอร์ไซค์ไฮบริดรุ่นแรกของแบรนด์
หลังจากค่ายยักษ์เขียว Kawasaki ได้ประกาศเปิดตัว Z7 Hybrid และ Ninja 7 Hybrid สองโมเดลแรกที่เลือกใช้งานระบบส่งกำลังแบบไฮบริด ซึ่งถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตจำนวนมากรุ่นแรกของบริษัท ที่ใช้ระบบส่งกำลังในรูปแบบไฮบริดที่จริงจัง งานนี้ทีมงาน Greatbiker ก็เลยอยากพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จัก และเจาะลึกในรายละเอียดของตัวรถกันครับ
สิ่งที่ Z7 Hybrid และ Ninja 7 Hybrid แตกต่างออกไปจากรถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆ ไป ก็คือเรื่องของระบบเครื่องยนต์ ซึ่งเครื่องยนต์ที่ติดตั้งบนตัวรถทั้ง 2 รุ่นนั้น จะมีการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยจะมีการรวมเอาเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาด 451 ซีซี แบบ 2 ลูกสูบเรียง DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า โดยที่มอเตอร์ไฟฟ้านั้น จะเป็นตัวช่วยทั้งในเรื่องของการประหยัดพลังงานและส่งเสริมสมรรถนะในการขับขี่
โดยพื้นฐานแล้วเครื่องยนต์ 2 ลูกสูบ 451 ซีซี นั้นจะสามารถรีดกำลังได้ 58 แรงม้า (ps) ที่ 10,500 รอบต่อนาที พร้อมกับแรงบิดสูงสุด 4.4kg-m ที่ 7,500 รอบต่อนาที แต่เมื่อผู้ขับขี่ เลือกใช้งานโหมดการขับขี่ในโหมด Sport Hybrid จะมีความสามารถพิเศษในการเข้าถึงฟังก์ชั่น eBoost ที่จะเป็นการเปิดการทำงานของเครื่องยนต์ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ซึ่งจะปรับเปลี่ยนสัดส่วนของกำลังรวมใหม่เป็น 69 แรงม้า (ps) ที่ 10,500 รอบต่อนาที พร้อมกับแรงบิด 6.1kg-m โดยใช้รอบเครื่องยนต์ที่ 2,800 รอบต่อนาทีเท่านั้น โดยระบบ eBoost จะมีขีดกำจัดในการทำงานที่ 5 วินาทีต่อครั้ง จึงอาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเร่งประสิทธิภาพแบบชั่วขณะ โดยที่สามารถกดเรียกใช้งานซ้ำๆได้ จนกว่า แบตเตอรี่จะเหลืออยู่ในระดับที่กำหนดไว้ และสิ่งที่สำคัญคือฟังก์ชั่นนี้ ระบบเกียร์จะเปลี่ยนการทำงานให้เป็นแบบ MT โดยอัตโนมัติ เพื่อให้การเร่งความเร็วมีเสถียรภาพ และไม่เปลี่ยนเกียร์แบบในขณะที่เรากำลังเร่ง แต่ที่สงสัยคือ เมื่อหมดเวลาแล้ว ระบบเกียร์จะกลับมาทำงานแบบอัตโนมัติหรือไม่ อันนี้เราไม่ทราบจริงๆ
ในขณะเดียวกัน Kawasaki ได้กล่าวเคลมไว้ว่า มอเตอร์ไฟฟ้า ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งในฟังก์ชั่น eBoost และโหมด EV จะมีแรงบิดที่เริ่มหมุนตั้งแต่รอบแรกที่วัดได้ 3.7 kg-m ซึ่งเทียบเท่ากับแรงบิดสูงสุดของรถมอเตอร์ไซค์และสกู๊ตเตอร์ที่ใช้เครื่องยนต์ 2 ลูกสูบ ขนาด 400 ซีซี แต่แรงบิดมหาศาลนี้จะพร้อมใช้งานทันทีเพียงบิดคันเร่ง โดยไม่ต้องไล่รอบเครื่องยนต์ให้เสียเวลา ซึ่งตรงนี้เอง ที่ทำให้เรารู้สึกอยากลองขับขี่มันมากๆ
ในส่วนของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ตามข้อมูลที่บอกเล่าโดยผู้ผลิต ได้กล่าวว่าตัวรถทั้ง 2 รุ่นจะมีอัตราการใช้เชื้อเพลิงที่ 23.6 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งอัตราส่วนนี้วัดจากการเปิดใช้งานโหมดการขับขี่ Sport Hybrid ซึ่งเป็นโหมดการขับขี่ที่ใช้พลังงานมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่า ในโหมดการขับขี่ eco-hybrid จะมีอัตราส่วนที่ดีกว่านี้ และในโหมดที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อย่างโหมด EV และฟังก์ชั่น Walk Mode นั้น จะไม่ใช้เชื้อเพลิงเป็นแหล่งพลังงานแต่อย่างใด
ในส่วนของ Walk Mode นั้นจะมีคุณสมบัติในการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วต่ำ โดยสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด 3 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถเคลื่อนที่แบบถอยหลัง ด้วยความเร็วสูงสุด 2 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยโหมดนี้จะทำงานผ่านตัวเลือกโหมดการขับขี่ ซึ่งจะปลดล็อกการหมุนของคันเร่งใหม่ โดยที่เมื่อเราบิดคันเร่งปกติ ตัวรถจะเดินหน้าแบบอัตโนมัติ และหากเราสวนคันเร่งไปในทิศทางตรงกันข้าม ตัวรถจะเข้าสู่โหมดถอยหลังได้เองโดยอัตโนมัติ ซึ่งสิ่งนี้ช่วยป้องกันความสับสนของการเดินหน้าถอยหลังได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ในเรื่องของระบบเกียร์นั้น ตังวรถทั้งสองรุ่นจะมาพร้อมกับชุดระบบเกียร์ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และยังสามารถสั่งงานแบบแมนนวลได้โดยใช้ตัวเลือกเกียร์ทางด้านซ้าย ระบบคลัตช์ไฮดรอลิกถูกควบคุมโดยระบบกลไกพิเศษซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติ และมีการใช้งานระบบ ค้นหาตำแหน่งออกตัวอัตโนมัติ (ALPF) ที่จะเลือกเกียร์ 1 โดยอัตโนมัติเมื่อสตาร์ทไม่ว่ารถจะหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ในความเร็วต่ำ สิ่งนี้ทำให้เราสงสัยว่า หากเราสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะที่ลงเนิน ระบบจะจัดการเลือกเกียร์ให้เราได้หรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าระบบ ALPF นี้ จะสามารถเลือกเปิดหรือปิดการทำงานก็ได้ และด้วยสาเหตุนี้ การสตาร์ทเครื่องยนต์บนทางลาดชันก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอีกต่อไป
มาถึงส่วนที่เชื่อว่า เพื่อนๆ หลายๆ คนกำลังรอกันอยู่ นั่นก็คือเรื่องของแบตเตอรี่ ตัวรถทั้งสองรุ่นจะติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาด 48V โดยจะติดตั้งไว้ใกล้กับกึ่งกลางของตัวรถ บริเวณใต้เบาะนั่ง โดยจะใช้รูปแบบการยึดแบบชั่วคราว โดยสามารถถอดเปลี่ยนได้ แต่ต้องใช้เครื่องมือและการถอดชิ้นส่วนตัวรถ ดังนั้น การสลับแบตเตอรี่ไปมาคงเป็นเรื่องที่ลำบากพอสมควร แต่ในทางกลับกัน ตัวแบตเตอรี่ มีคุณสมบัติในการชาร์จด้วยตัวเอง โดยอาศัยพลังงานจากการหมุนของเครื่องยนต์ในการประจุไฟ ทำให้สามารถขับขี่ไปและชาร์จไปในตัวได้ และทางผู้ผลิตยังเคลมว่า แบตเตอรี่ชุดนี้ จะยังคงสภาพความเสื่อมไม่ต่ำกว่า 70% แม้จะผ่านการงานไปแล้วกว่า 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตรอีกด้วย
Kawasaki Z7 Hybrid และ Ninja 7 Hybrid จะเริ่มจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นวันที่ 15 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป โดยมีราคาเท่ากันที่ 1,848,000 เยน หรือราวๆ 445,345 บาท ส่วนประเทศไทยนั้นคาดว่าจะมีการนำเอามาทำตลาดอย่างแน่นอน เพราะโดยรากฐานแล้ว ตัวรถทั้งสองรุ่นมีการผลิตโดยโรงงาน Kawasaki ในประเทศไทย (จากข้อมูลของสื่อญี่ปุ่น) แต่การเปิดตัวจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้น ต้องติดตามกันให้ดี
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก young-machine.com
Keattisak Ngamkham – Writer, automotive journalist with experience The whole motorcycle industry and the motorsport industry Expert in doing reviews of all types of motorcycles.