Banner-Yamaha-Fazzio-X-Fila-2024-1150x250.gif
Banner-Yamaha-Fazzio-X-Fila-2024-400x300.gif

แนวทางชัดเจนแล้ว ในปี 2019 – 2020 ทางค่าย Honda เองจะมีรถคลาส 1000 ทั้ง 4 สูบเรียงและ 4 สูบ V

cbr1000rr

จากที่ก่อนหน้านี้ได้มีกระแสข่าวการพัฒนารถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตเรพลิก้าจากทางค่าย Honda ในคลาส 1,000cc กันมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกระแสข่าวที่ว่าจะเป็นการพัฒนาเครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียงลูกเดิมให้จัดจ้านมากขึ้น หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์แบบ V4 เหมือนกับ Ducati Panigale V4 ที่เปิดตัวกันไป แต่แล้วล่าสุดข้อมูลจากทางฝั่งญี่ปุ่นเองนั้นก็ได้เริ่มที่จะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ว่าทาง Honda เองนั้นจะเดินหน้าในการพัฒนาโมเดลใหม่อย่าง All New CBR1000RR ที่จะใช้เครื่องยนต์แบบ 4 สูบเรียง และอีกหนึ่งโมเดลที่จะคลอดออกมาหลังจากนั้นก็คือ RVF1000 รถสปอร์ตแบบสูบ V4

เรามาโฟกัสที่คันแรกกันก่อนอย่าง All New CBR1000RR ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกไม่น้อยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงโมเดลกันในเวลาประมาณ 2 ปีเท่านั้น หลังจากทางค่ายเองนั้นได้เพิ่งจะเปิดตัว CBR1000RR คันล่าสุดไปเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมาเท่านั้น เพราะปกติแล้วอย่างน้อยๆ การเปลี่ยนแปลงแบบหลัก (เมเจอร์เชนจ์ หรือที่เรียกกันว่า All New นั้น) อย่างน้อยๆ ก็จะเป็นเวลาประมาณ 3-4 ปีเป็นอย่างต่ำ โดยเหตุผลตรงนี้เรายังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไรกันแน่ (แว่วๆ มาว่าสืบเนื่องจากผลงานในสนามแข่ง WSBK) แต่หลังจากนี้น่าจะข้อมูลตรงนี้เปิดเผยออกมามากขึ้น อย่างไรก็ตามเราลองมาดูรายละเอียดที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับเจ้า CBR1000RR คันใหม่คันนี้กันเลยดีกว่า

001-10

ในเรื่องของงานออกแบบในบางจุดจะมีความแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะในเรื่องของหน้ากากและไฟหน้าอย่างที่เราเห็นจากภาพ render ของทาง Young Machine ภาพนี้จะมีรูปร่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ดูมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงนั่นก็คือระบบกันสะเทือนหรือโช้กอัพด้านหน้าแบบหัวกลับ ที่จะมาเป็นแบบไฟฟ้ากันแล้ว แน่นอนว่ามันเป็นการแก้เกมคู่แข่งอย่าง Kawasaki Ninja ZX-10R ที่ใช้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบไฟฟ้าเช่นเดียวกัน โดยตัวโช้กอัพหน้าแบบไฟฟ้านั้นจะมีหลักการทำงานควบคุมโดยกล่อง ECU ที่จะประมวลผลรูปแบบของผู้ขับขี่และทำการปรับค่าความหนืดของตัวโช้คอัพหน้า โดยจะทำการเก็บค่าและประมวลผล ซึ่งจะคำนวณจากอัตราการกดเบรก การใช้ความเร็ว ความบ่อยครั้งในการกระแทกคันเร่ง รวมไปการเอียงของแกน IMU ในขณะขับขี่ ซึ่งระบบนั้นจะปรับระยะยุบตัวของโช้คอัพหน้าและหลัง ให้สอดคล้องกับรูปแบบของผู้ขับขี่โดยอัตโนมัติ ในขณะที่ระบบกันสะเทือนหลังนั้นจะเป็นแบบโมโนโช้กทำงานร่วมกับสวิงอาร์มเดี่ยว หรือที่เราเรียกกันว่าโปรอาร์ม ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อมันมาอยู่ในรถแข่งสนามแบบนี้ มันจะมีผลอย่างมากในการเปลี่ยนยางระหว่างแข่งขัน ซึ่งจะทำเวลาในการเปลี่ยนยางได้รวดเร็วขึ้นกว่าสวิงอาร์มแบบคู่อย่างแน่นอน

blank

ออฟชั่นต่างๆที่อยู่ในตัวรถอย่าง Wheelie Control HSTC ระบบป้องกันการยกตัวของล้อ   Traction Control ระบบป้องกันล้อหมุนหรือ   Gyro Based ABS ระบบช่วยเหลือการทำงานของ ABS ขณะที่รถมีการเอียงตัว  Engine Brake (EB) ระบบช่วยเหลือขณะใช้เอนจิ้นเบรกที่มีให้เลือกถึง 3 ระดับ  Torque Adjust การปรับอัตราการเร่งของตัวรถได้ 9 ระดับ  Quick Shifter Assist Up & Down Shift หรือระบบเปลี่ยนเกียร์ขึ้นหรือลงโดยไม่จำเป็นต้องกำคลัทซ์  Launch Control  ระบบช่วยเหลือในการออกตัว  Pit Lane  ระบบจำกัดความเร็วของตัวรถ  TBW & APS ระบบคันเร่งไฟฟ้าที่ทำงานร่วมกับชิพอัจฉริยะ APS ที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการใช้คันเร่งได้สูงสุด สิ่งต่างๆ เหล่านี้น่าจะมีมาให้กับรถ All New CBR1000RR กันทั้งหมด แต่ในเรื่องของเครื่องยนต์ทั้งทอร์คและแรงม้านั้น เรายังไม่ทราบข้อมูลตัวเลขตรงนี้ แต่แน่นอนว่ามันจะต้องดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน กำหนดการเปิดตัวโมเดลบิ๊กไบค์คันนี้จะอยู่ที่ช่วงปี 2019

honda-v4

ส่วนคันต่อมาสำหรับ Honda RVF1000 รถสปอร์ตเรพลิก้าเต็มตัวที่จะมาในแนวทางที่แตกต่างไปจาก CBR ซึ่งสิ่งที่ชัดเจนเลยก็คือเรื่องของขุมกำลัง ที่จะมาในแบบ V4 นั่นเอง ซึ่งเครื่องยนต์ลูกนี้ถือว่าเป็นลูกใหม่เอี่ยมจากทางค่าย ที่ยังไม่เคยใช้กับรุ่นไหนมาก่อน ทาง Honda เองนั้นได้พัฒนาต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ช่วงปีที่ผ่านมา โดยมันจะเป็นจุดขายที่ชัดเจนในคาแรกเตอร์ของตัวรถที่แตกต่างออกไป ซึ่งหากว่าไทม์ไลน์ของการผลิตโมเดลนี้ เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นการฉลองอย่างยิ่งใหญ่ในวาระโอกาสครบรอบ 70 ปีของทางค่าย Honda ด้วยนั่นเอง ซึ่งเจ้าเครื่องยนต์ V4 นั้นจะเป็นการสานต่อรถในตำนานรุ่นเดอะอย่าง RC30 และ RC45 ที่เคยออกอาละวาดทั่วโลกมาก่อนหน้านี้แล้ว และความคืบหน้าล่าสุดของโครงการนี้ก็คือทางค่ายเองนั้นได้ทำการจดสิทธิบัตรเกี่ยวกับโมเดลนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราพบว่ามันเป็นการใช้โครงรถแบบหล่ออลูมิเนียมผสมกับ monocoque เช่นเดียวกันกับรถ Ducati Panigale และมีภาพ render จากทางนิตยสาร Young Machine เผยโฉมออกมาให้เห็นกัน ซึ่งถือว่าเป็นสื่อในประเทศญี่ปุ่นเช่นเดียวกันกับฐานการผลิตหลักของรุ่นนี้นั่นเอง

blank

ซึ่งจุดเด่นอย่างหนึ่งที่น่าสนใจของเจ้า V4 คันใหม่นี้ก็คือตัวรถเองนั้นจะออกแบบในส่วนของครอบท้ายมาให้ทำเอโร่ไดนามิก (อากาศพลศาสตร์) ได้ยอดเยี่ยมกว่าปกติ นั่นก็คือมีการทำช่องอากาศให้ลมสามารถพัดผ่านไปได้ และคำนวณองศาความลาดชันของส่วนนั้น ให้การไหลผ่านของลมนั้นไหลลื่นมากที่สุด (ตามภาพที่เราเห็นด้านบนนี้) รวมไปถึงในส่วนของแฟร์ริ่งแต่ละชิ้นด้วยที่รองรับหลักการตรงนี้ และแน่นอนว่าออพชั่นต่างๆ ที่จะช่วยให้การขับขี่ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดนั้น ก็ถือว่าจะมีให้มาอย่างครบครัน แม้ว่าจะยังไม่มีข้อมูลรายละเอียดตรงนี้อย่างชัดเจน แต่เชื่อว่าจะไม่แพ้รถคันอื่นๆ ในคลาสใกล้เคียงกันอย่างแน่นอน

blank

และในส่วนของวัสดุที่ใช้ทำแฟร์ริ่งนั้นจะมีส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งให้น้ำหนักที่เบามากๆ แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็มีความทนทานสูง และการที่มันมีน้ำหนักเบานี้เอง จะทำให้ตัวรถนั้นสามารถรีดพละกำลังออกมาได้อย่างเต็มที่ สุดท้ายนี้เราจะมาโฟกัสกันที่จุดเด่นที่สุดของสูบ V4 นั่นก็คือการให้พละกำลังของเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่ในย่านความเร็วต้น กลาง และปลาย ซึ่งต่างจาก 4 สูบเรียงที่ต้นจะแผ่วๆ แต่จะมาเริ่มแรงตั้งแต่ย่านความเร็วกลางๆ ค่อนไปทางปลาย ซึ่งแน่นอนว่าแม้เจ้าสูบ V4 นั้นจะมีความเร็วปลายที่ไม่ไหลลื่นเท่ากับ 4 สูบเรียง แต่เมื่อเรามองถึงการใช้งานจริงๆ แล้วในหลายๆ กรณีการที่ออกตัวได้แรงตั้งแต่ย่านความเร็วต่ำๆ นั้นก็ย่อมเป็นที่ต้องการของเหล่าไบค์เกอร์จำนวนไม่น้อย ทำให้คาแรกเตอร์ของเจ้า V4 คันนี้จะแตกต่างกับ CBR1000RR อย่างมากทีเดียว และในแง่ของต้นทุนแล้วแน่นอนว่า V4 จะต้องแพงกว่าแบบ 4 สูบเรียง แต่อย่างไรก็ตามรถฮอนด้าคันนี้จะถูกวางตำแหน่งทางการตลาดมาแบบขายกันทั่วไปหรือที่เรียกว่าตลาดแมส และราคาจะแพงกว่า CBR1000RR ไปประมาณหนึ่ง ซึ่งกำหนดการเปิดตัวของ RVF1000 นั้นจะอยู่ในช่วงปี 2020 (หลังจากเปิดตัว All New CBR1000RR ไปประมาณ 1 ปี)

v4

เรียกได้ว่าเป็นการรุกตลาดแมสในรถสปอร์ตคลาส 1,000 จากทาง Honda อย่างเต็มตัว ซึ่งแน่นอนว่านอกจากการพัฒนารถในตระกูล CBR1000RR อย่างเต็มรูปแบบแล้ว ยังพ่วงมาด้วย RVF1000 ที่มีความชัดเจนในเรื่องของเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันออกไป เชื่อว่าการเดินเกมครั้งนี้ของ Honda เองนั้นจะสร้างอิมแพคต่อตลาดบิ๊กไบค์อย่างแน่นอน รวมไปถึงในรายการแข่งขันด้วย จับตาดูกันให้ดี จากนี้น่าจะมีข้อมูลอะไรให้ตื่นเต้นกันเพิ่มเติมอีกอย่างแน่นอน

ขอบคุณภาพจาก young-machine.com motorcyclenews.com