Banner-Yamaha-EXCITER-2024-1150x250.gif
Banner-Yamaha-EXCITER-2024-400x300.gif

8 สิ่งที่ทำให้ผู้ขับรถยนต์ส่วนใหญ่เข้าใจมอเตอร์ไซค์ผิด

Picture-from-www.carlist.my_

จากบทความเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนเมื่อวานก่อน ทางทีมงาน GreatBiker ก็ยังกังวลใจเกี่ยวกับความปลอดภัยในการขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ของเพื่อนๆ ยิ่งเมื่อได้เห็นข่าวไม่ดีเกี่ยวกับการเข้าใจผิดบางอย่างที่บุคคลภายนอกมีต่อมอเตอร์ไซค์แล้ว ยิ่งทำให้พวกเราเองรู้สึกได้เลยว่าปัจจุบันมุมมองของคนทั่วไปที่มีต่อยานพาหนะสองล้อนั้นมีทิศทางที่เปลี่ยนไป

มนุษย์คือสัตว์สังคมที่มีวิวัฒนาการ มีการพัฒนา แต่มนุษย์ยังคงปิดกั้นและใส่ใจเฉพาะในมุมมองที่ตัวเองมองเห็นโดยไม่แยแสถึงมุมมองอื่นๆ ที่ตนเองไม่ได้มอง เราไม่สามารถทำให้มนุษย์ทุกคนบนโลกเข้าในตรงจุดนี้ได้โดยทั่วกัน แต่ 8 ข้อต่อไปนี้คือความเข้าใจผิดๆ ที่บรรดาผู้ขับขี่รถบนท้องถนนมักจะเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์

blank

1.รถมอเตอร์ไซค์สามารถหยุดได้ทันที
นี้คือความเข้าใจผิดที่แย่ที่สุดเกี่ยวกับรถมอเตอร์ไซค์ ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนใหญ่มักจะเข้าใจไปเองว่าระบบเบรกในรถยนต์นั้นเหมือนกับรถมอเตอร์ไซค์ โดยลืมไปว่ารถยนต์นั้นมีจำนวนล้อที่มากกว่า ระยะในการเบรกด้วยความเร็วที่เท่าๆกัน ก็จะมีระยะที่สั้นกว่า อีกทั้งหน้ายางที่กว้างกว่ามีผิวสัมผัสที่มากกว่า การสร้างระยะเบรกจึงมีระยะที่ชัดเจน แตกต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ที่มีระบบเบรกเพียงอย่างล่ะหนึ่ง คือ หน้าหนึ่ง หลังหนึ่ง พอจำเป็นต้องกดเบรกหนักๆ แล้ว หากรถรุ่นไหนที่ไม่มี ABS ก็จะเกิดอาการล้อล็อก ซึ่งส่งผลให้สูญเสียการควบคุมและด้วยแรง จากการเดินทางของยางเมื่อเกิดเหตุต้องหยุดฉุกเฉินนั้นมันจะไม่คว่ำได้อย่างไงล่ะครับ

blank

2.มอเตอร์ไซค์สามารถหลบหลีกทุกอย่างได้
นอกเหนือจากความคิดที่รถมอเตอร์ไซค์สามารถหยุดได้ทันทีแล้ว ความคิดที่ว่ารถมอเตอร์ไซค์นั้นสามารถหลบหลีกการเกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย ในกลุ่มของผู้ขับขี่ที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน หรือผู้ขับขี่ที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยทักษะในการขับขี่ที่เจ้าตัวมี แต่ถ้านับเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์กว่า 80% (ในรถมอเตอร์ไซค์ทุกขนาดเครื่องยนต์) ไม่เคยผ่านการอบรมการขับขี่มาก่อน ดังนั้นแล้วการหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุนั้นจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันหรือทันท่วงที แต่ถึงจะมีการฝึกอบรมขนาดไหนก็ตามหากไม่มีที่ว่างให้เรานำรถเพื่อหลบหลีกการเกิดอุบัติเหตุ มันก็คงไม่มีผลอะไรใช่ไหมครับ

blank

3.มอเตอร์ไซค์สามารถเบรกกลางโค้งได้
เรามักจะพบเจอในจังหวะที่เราอยู่ในเลนท์ขวา กำลังอยู่ในย่านความเร็วพอสมควร และกำลังเอียงตัวอยู่ในโค้ง แต่จะมีรถยนต์สักคันที่ทะเล่อทะล่าออกมาจากเลนท์ตัวเองเพื่อมายังเลนท์ที่จะแซงอย่างเลนท์ขวาสุด ซึ่งนั้นทำให้ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ต้องตัดสินใจเบรกรถซึ่งตรงจุดนี้ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์บางคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าการเบรกกลางโค้งขณะที่ตัวรถเอียงอยู่นั้นมีความอันตรายค่อนข้างสูง แตกต่างจากรถยนต์ที่สามารถกดเบรกหนักในโค้งได้โดยที่ไม่เสียอาการเพราะหน้ายางสัมผัสพื้นถนนที่มีพื้นที่ยึดเกาะมากกว่า การเอียงตัวของตัวรถก็แทบจะไม่มี ดังนั้นแล้วการหลีกเลี่ยงการแซงในทางโค้งน่าจะมีประโยชน์มากกว่านะครับ

blank

4.มอเตอร์ไซค์คันเล็กรถยนต์สามารถแซงได้ในพื้นที่ห้ามแซง
จุดนี้เราเห็นกันบ่อยๆ โดยเฉพาะการแซงในตำแหน่งพื้นที่ห้ามแซง โดยความเข้าใจของบรรดาผู้ขับรถยนต์นักมักจะเข้าใจกันว่ามอเตอร์ไซค์มีขนาดที่เล็กกว่ารถยนต์ ข้ามเลนท์ไปคงไม่ใช่ปัญหา พวกนั้นน่าจะหลบได้ ต้องย้ำก่อนเลยว่าเขตพื้นที่ห้ามแซงต่อให้ไม่มีรถหรือมอเตอร์ไซค์ขับขี่สวนทางมาเลย มันก็ห้ามแซงอยู่ดี ซึ่งในเขตพื้นที่ห้ามแซงนั้นจะเป็นพื้นที่ถนนที่มักจะมีขนาดพื้นที่ที่ไม่ใหญ่มาก พื้นที่ในการหลบหลีกค่อนข้างน้อย เมื่อรถยนต์ข้ามมาเลนท์ที่จำกัดแบบนี้ แล้วผู้ขับขี่รถที่สวนทางมาจะหลบหลีกกันอย่างไรล่ะครับ

blank

5.รถมอเตอร์ไซค์ช้ากว่ารถยนต์
ความคิดแบบนี้ถือว่าผิดถนัดเลยนะครับ เปรียบเทียบกันให้เห็นๆ ในการจารจรที่หนาแน่นรถยนต์อาจจะเคลื่อนตัวได้ช้าเพียง 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่สำหรับรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กสามารถทำได้ถึง 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ขับขี่ ส่วนทางโล่งๆ ตรงๆยาวๆ รถยนต์ธรรมดาๆ เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี 1 คันสามารถกดคันเร่งเต็มที่ได้ประมาณ 140 – 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่สำหรับมอเตอร์ไซค์เอาแค่พิกัดกลาง 400-650 ซีซี สามารถวิ่งทำความเร็วได้แตะ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบายๆ แบบนี้มอเตอร์ไซค์ถือว่าขับขี่ได้ช้าหรือครับ

blank

6.เลือกที่จะไม่มองหรือมองข้ามรถมอเตอร์ไซค์
ในการขับขี่บนท้องถนนนั้นอาจจะเป็นไปได้ที่ผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์จะเลือกใช้พื้นที่ที่เป็นจุดอับของการมองเห็นของผู้ขับขี่รถยนต์ เช่นอยู่เยื้องๆด้านหลังรถซึ่งกระจกมองหลังของรถยนต์มองไม่เห็นเรา หรือในกรณีที่เราขับขี่ไปใกล้กับรถใหญ่ที่มีมุมอับของการมองเห็นค่อนข้างมาก นั้นจึงทำให้ผู้ขับขี่ไม่สามารถมองเห็นเราได้ วิธีแก้ไขก็คือเลือกพื้นที่ที่คิดว่าผู้ขับขี่รถยนต์จะสามารถมองเห็นเราได้ เช่นเมื่อเลือกที่จะขับขี่ตามหลังรถยนต์ก็วางตำแหน่งตัวรถให้อยู่ด้านหลังของกระจกมองหลังรถยนต์ หรือท้ายรถตรงกลาง หรือสวมใส่ชุดหรืออุปกรณ์ที่มีสีสันมากกว่าสีดำ (ซึ่งเป็นสีที่นิยมมากในเหล่าไบค์เกอร์) ซึ่งจะบอกว่าตรงจุดนี้ก็มีบางกรณีที่ผู้ขับขี่รถยนต์เองเลือกที่จะไม่มองดูหรือสนใจผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นแล้วตรงจุดนี้ต้องปรับกันคนล่ะครึ่งทางน่าจะโอเคที่สุด

blank

7.ไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยว
ในเรื่องนี้ต้องบอกเลยว่าเป็นกันทั้งสองฝ่าย ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ โดยกรณีส่วนมากเราจะพบว่าการไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวนั้นจะพบในรถมอเตอร์ไซค์มากกว่ารถยนต์ ด้วยวิธีการเปิดปิดสัญญาณที่ดูจะลำบากในผู้ขับขี่หน้าใหม่ ที่ยังกังวลใจเรื่องของการกำคลัทซ์และเปิดไฟเลี้ยวไปด้วย ไหนจะมือที่ต้องประคองแฮนด์รถให้ไปในทิศทางที่เราต้องการอีก ยิ่งทำให้เกิดอาการวิตกได้ไม่ยากนักจนบางครั้งทำให้เราลืมสิ่งสำคัญของกฏจารจรไป เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเป็นอย่างมาก ในกรณีของรถยนต์นั้นมักจะพบว่าการไม่เปิดสัญญาณไฟเลี้ยวนั้นจะเป็นการเลี้ยวแบบฉุกเฉินเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะระบบการเปิดปิดสัญญาณไฟนั้นทำได้ง่ายกว่ารถมอเตอร์ไซค์หลายเท่านัก อีกทั้งในรถยนต์เมื่อมีการหมุนกลับของพวงมาลัยแล้วระบบก็จะตัดการทำงานไปด้วย แตกต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ต้องเปิดและปิดระบบนี้ด้วยตัวเองเท่านั้น จึงมีกรณีที่เหล่าไบค์เกอร์ทั้งหลายลืมปิดสัญญาณไฟดเลี้ยวด้วยเช่นกัน ก็ขอให้เช็กกันหน่อยนะครับเพื่อความปลอดภัย

blank

8.ขับรถยนต์แล้วโทรศัพท์ได้
เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่มีการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่อง เพราะการทำอะไรสักอย่างที่ทำให้เราเสียสมาธิในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการคุยโทรศัพท์ กินขนม หรือแม่แต่อ่านหนังสือ ล้วนแล้วแต่อันตรายทั้งนั้น ไม่เว้นแค่ในรถยนต์ แต่พวกเราก็เคยเห็นผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์บางท่านก็ยังทำแบบเดียวกันนี้ด้วย บางคนถึงขนาดขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปด้วยเซลฟี่ไปด้วยก็ยังมี ซึ่งมันค่อนข้างที่จะอันตรายอยู่ไม่น้อย

blank

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนที่เป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์บนท้องถนน เราเลือกที่จะเป็นผู้ขับขี่ที่ชาญฉลาดหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตรายได้ แน่นอนว่าเราสามารถตำหนิผู้ที่ขับขี่ที่เสี่ยงต่ออันตรายได้ แต่สมัยนี้จะทำอะไรขอให้คิดหน้าคิดหลังดีๆ นะครับ เพราะคนเราสมัยนี้ใจร้อนกันเหลือเกิน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดกันตามประสาสัตว์โลกผู้เจริญแล้วจะดีกว่านะครับ

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.bikesrepublic.com