Banner-Yamaha-EXCITER-2024-1150x250.gif
Banner-Yamaha-EXCITER-2024-400x300.gif

ตะลุยเส้นทางสุดคลาสสิกด้วย Honda CB1100 กับ Riding Passion Trip ที่เกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น

Day 1 HRP JAPAN-112

หากจะพูดถึงคำจำกัดความคำว่า “Passion” ที่หมายถึงความชอบ ความหลงไหล ความปรารถนาอย่างแรงกล้าในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง  แต่สำหรับชาวไบเกอร์อย่างพวกเราแล้ว การได้นั่งอยู่หลังแฮนด์บาร์ อยู่บนเบาะมอเตอร์ไซค์ซักคัน ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยไปกับวิวสองข้างทาง เจอเพื่อนร่วมทางใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่สำคัญไม่แพ้จุดหมายปลายทางที่จะไปถึง นี่แหละคือ Passion ของเหล่าไบเกอร์ทุกคนต้องการและแสวงหา

และครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ทีมงาน GreatBiker ได้ร่วมเดินทางไปค้นหา Passion ร่วมกับเหล่าไบเกอร์ถึงเกาะคิวชูประเทศญี่ปุ่น เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ระยะทางการขับขี่โดยรวมกว่า 650 กิโลเมตร ใช้เวลาทั้งหมด 5 วัน 4 คืน ต้องบอกเลยว่าเป็นประสบการณ์สุดพิเศษที่ทาง Honda Bigbike Thailand ได้สร้างกิจกรรมที่จะพาคนไทยไปเปิดประสบการณ์ในการขับขี่ในที่ต่างๆ บนโลกใบนี้ เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่ดีในการขับขี่ท่องเที่ยว ภายใต้ชื่อว่า Honda Bigbike Excites The World โดยครั้งนี้เองก็ได้จัดแคมเปญขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Honda Bigbike Riding Passion ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 พาท นั่นคือ Japan Passion และ Newzealand Passion  นั่นเอง

ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับสถานที่ที่เราจะไปค้นหา Passion กันก่อน นั่นก็คือเกาะคิวชูนั่นเอง “เกาะคิวชู” เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 จาก 4 เกาะในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอันดับ 1 ก็คือเกาะฮอนชูหรือที่เรารู้จักกันในชื่อเกาะโตเกียวนั่นเอง อันดับที่ 2 คือเกาะฮอกไกโด อันดับ 3 คือเกาะคิวชู และอันดับที่ 4 คือเกาะชิโกกุ

เกาะคิวชูตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศญี่ปุ่น ทำให้มีอุณหภูมิอุ่นกว่าพื่นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งช่วงที่เราไปเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงที่กำลังมีอากาศหนาวเย็นสลับกับฝนตกในบางช่วง เหมาะแก่การท่องเที่ยว พร้อมรับอากาศเย็นสดชื่นตลอดการขับขี่

นอกจากที่เกาะคิวชูจะมีอากาศที่หนาวเย็นแล้ว วิวทิวทัศน์ต่างๆ ก็เป็นจุดเด่นเอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ช่องเขาทาคาชิโฮะลำธารธรรมชาติที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น อะโสะมิ้ลด์โรดเส้นทางที่ลัดเลาะไปสู่ภูเขาไฟอะโสะ สะพานแขวนโคโนเอะยูเมะสะพานแขวนคนข้ามที่สูงและยาวที่สุดในญี่ปุ่น และปราสาทนาคาสึปราสาทที่เป็นจุดเริ่มต้นของเกาะคิวชูนั่นเอง

ฟุกุโอกะ-นางาซากิ

เราเดินทางจากเมืองไทยไปที่เมืองฟุกุโอกะใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินประมาณ 5.30 ชั่วโมงพอถึงก็เดินทางมารับรถกันที่ Ricoland ที่ฟุกุโอกะกัน ซึ่งหลังจากที่เราเซ็นเอกสารรับรถกันเสร็จแล้วก็เดินทางไปเติมพลังเหล่าไบเกอร์กันที่ภัตคาร ซึ่งที่นี่เค้าก็เสิร์ฟเมนูเซตปูให้เข้ากับบรรยากาศหน้าหนาวให้เราได้สดชื่นก่อนการเดินทาง

มาพูดถึงพาหนะคู่ใจที่จะพาเหล่าไบเกอร์จากชาวไทยเดินทางตลอดทริป 4 วันนี้ก็คือเจ้า Honda CB1100 นั่นเอง ซึ่งทางร้านเช่ารถของทางญี่ปุ่นก็คือ Rental819 ก็ได้รวบรวม เจ้า Honda CB1100 มาจากทุกพื้นที่ของประเทศกันเลยทีเดียวและน่าจะเป็นครั้งแรกที่เรานำ Honda CB1100 มาขับขี่ด้วยกันมากถึงกว่า 30 คันด้วยกัน

Honda CB1100 เป็นรถ 4 สูบ 1,140 CC ระบายความร้อนด้วย Oil Cooler และอากาศ สไตล์รถเป็นแบบคลาสสิกเน็กเกต ที่มองมุมไหนก็ต้องหลงเสน่ห์ในความย้อนยุคของมัน ยิ่งเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบแล้ว เสียงที่ออกมามันกระตุ้นอะดรีนาลีนเหลือเกิน ทั้งมิติรถที่ดูใหญ่ทรงพลัง แต่เมื่อได้ขับขี่แล้วต้องบอกเลยว่ามันช่างเป็นรถที่ไม่ได้ขับขี่ยากแต่อย่างใด ถึงแม้ในเรื่องของการออกตัวซึ่งเป็นจุดที่ต้องสังเกตุสำหรับรถ 4 สูบโดยทั่วไป ที่เวลาออกตัวมักจะมีปัญหาเรื่องแรงต้น แต่ขับขี่ได้ซักพักก็ปรับตัวได้ไม่ยากเย็นนัก อาจจะต้องเติมคันเร่งในช่วงออกตัวให้หนักขึ้นก็ช่วยแก้ปัญหาได้

สถานที่แรกที่เราได้ขับขี่ไปนั้นคือ Huis Ten Bosch ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Wartermark Hotel Huis Ten Bosch ที่พักของเราในค่ำคืนนี้ ซึ่งระยะทางการขับขี่ จากเมืองฟุกุโอกะไปยังเมืองซาเซโบะ รวม 137 กิโลเมตร  เป็นระยะทางการขับขี่ที่สั้นที่สุดของทริปนี้

มาพูดถึงฟิลลิ่งในการขับขี่เจ้า CB1100 วันแรกกันก่อน ด้วยรูปลักษณ์ภาพนอกของคันนี้ดูใหญ่โต และจากข้อมูลก็ถือว่าน้ำหนักเยอะถึง 261 กิโลกรัมด้วยกัน แต่อย่างไรก็แล้วแต่เมื่อนั่งบนเบาะเท้าสามารถแตะพื้นได้ก็ไม่ต้องกังวลถึงเรื่องน้ำหนักและมิติรถแต่อย่างใด วิสัยทัศน์ในการมองเห็นชัดเจน แต่ตัวไมค์รถจะอยู่ห่างจากตัวเราพอสมควร ตัวไมค์เป็นแบบอนาล็อคมองเห็นชัดเจน ด้านซ้ายเป็นความเร็ว ด้านขวาเป็นรอบเครื่องยนต์ แต่ก็จะมีในเรื่องของเกย์วัดน้ำมัน เลขไมค์ และอัตราสิ้นเปลืองที่เป็นดิจิตอล มองชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน เบาะกว้างนั่งสบาย ท่านั่งในการขับขี่เป็นธรรมชาติ มีจุดสังเกตุนิดนึงด้วยความเป็นรถทรงเน็กเกตเวลาขับขี่ก็จะมีลมมาปะทะตัวผู้ขับขี่และตัวรถอยู่พอสมควร (แนวทางแก้ไขเมื่อได้คุยกับพี่ๆ ในทริปที่เป็นเจ้าของ CB1100 ก็คือการหาชิลด์หน้าแต่งตรงรุ่นมาใส่ก็ช่วยได้ค่อนข้างมากทีเดียว)

อากาศวันแรกที่ขับขี่อยู่ที่ประมาณ 14 องศา ต้องบอกเลยว่าเป็นอะไรที่ต้องปรับตัวมาก เครื่องแต่งกายที่เตรียมไปเผื่อเปลี่ยนขนมาใส่ทุกชิ้น แต่ก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี หลายคนพึ่งพาไออุ่นจากตัวเครื่องยนต์รวมถึงผมด้วย เรียกว่าฝาเครื่องแต่ละคันใสวับราวกับเคลือบแว๊กซ์กันเลยทีเดียว

ทางส่วนใหญ่ที่วิ่งกันวันแรกจะวิ่งกันบนทางด่วน ข้อดีของที่ญี่ปุ่นคือ มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์สามารถใช้ทางด่วนได้ โดยความเร็วที่ใช้ตามกฎหมายจะใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และในส่วนของเขตชุมชน ความเร็วก็อยู่ที่ 80-90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งการขับขี่บนถนนที่ญี่ปุ่นถือว่ามีความปลอดภัยมากๆ อีกประเทศนึงก็ว่าได้ เนื่องจากผู้คนจะเคารพกฎจราจรกันอย่างเคร่งครัด

เราใช้เวลาเดินทางกันวันนี้ประมาณ 4.30 ชั่วโมง ถือว่ากำลังดีในวันแรก ทำให้มีเวลาได้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศและเจ้า CB1100 ที่เราใช้ขับขี่กัน การขับขี่ใช้ช่วงความเร็วระหว่าง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันประมาณ 20 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่ง Honda CB1100 ปี 2016 มีความจุอยู่ที่ 17.5 ลิตร เรียกได้ว่าขี่จนลืมเติมน้ำมันกันเลยทีเดียว

หลังจากที่เราเดินทางมาถึง Wartermark Hotel Huis Ten Bosch ก็เป็นเวลาที่พระอาทิตย์เกือบจะตกดิน ซึ่งหน้าหนาวที่ญี่ปุ่นกลางวันจะสั้นกว่ากลางคืน และเมื่อพระอาทิตย์ตกดินอุณหภูมิก็จะลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องนั่งรถบัสไปยังสวนมิฟูเนะยามะ ซึ่งสวนแห่งนี้ในอดีตเป็นบริเวณที่ตั้งคฤหาสต์ส่วนตัวของขุนนางซึเกโยชิ นาเบะซึม

ภายในสวนมีการจัดตกแต่งไว้อย่างสวยงามหมุนเวียนกันตลอดทั้งปี จึงสามารถเข้าชมได้ทุกฤดู ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สวนก็จะเต็มไปด้วยความสดใสของดอกซากุระในหลายๆ จุด ปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน มีการจัดงานชมซากุระยามค่ำคืน ตั้งแต่เวลา 18:30-22:00 อีกด้วย ส่วนในเดือนพฤษภาคมจะได้ชมดอกวิสทีเรียสีม่วงและขาว ที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน

ฤดูใบไม้ร่วงก็พลาดไม่ได้ที่จะมาชมใบไม้เปลี่ยนสี ผู้คนจะเข้ามาเดินเล่นกันอย่างคึกคัก เพื่อชมสีสันของใบไม้สีเหลือง ส้ม และแดงสลับกัน รวมไปถึงดอกไม้พันธุ์อื่นๆ อีกมากมายหลายชนิด

นางาซากิ-อะโสะ

การเดินทางในวันที่ 2 ของเราเริ่มต้นจาก Wartermark Hotel Huis Ten Bosch ซึ่งตั้งอยู่ชายฝั่งของเมืองนางาซากิ วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งเหมาะกับการเดินทาง อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่14-16 องศา เริ่มปรับตัวกับความหนาวเย็นได้มากขึ้นแต่พยากรณ์อากาศบอกว่าในช่วงบ่ายจะมีฝนตก จึงเริ่มใส่เสื้อชุดกันฝนขับขี่กัน การเดินทางในวันนี้นอกจะขับขี่ในเมือง บนทางด่วนแล้ว ยังมีโอกาสได้ขับขี่บนเขาอีกด้วย ซึ่งบรรยากาศทั้งสองข้างทางก็เต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ดูเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมอยู่มาก สลับกับความทันสมัยไฮเทค ผสมผสานกันอย่างลงตัว  วันนี้ทุกคนขับขี่ได้ดีขึ้นเพราะได้พักผ่อนกันอย่างเต็มอิ่ม โดนส่วนตัวแล้ววันนี้ลมปะทะน้อยลงเพราะด้วยใส่ชุดกันฝน ทำให้ขับขี่ง่ายขึ้น ถนนบางช่วงของที่นี่มีลอดอุโมงค์ที่เจาะทะลุภูเขา ระยะทางเกินกว่า 5 กิโลเมตร นับ 10 ที่ น่าทึ่งมากๆ มีการระบายอากาศและไฟส่องสว่างเป็นอย่างดี

เส้นทางของการขับขี่ในวันนี้มีพื้นถนนค่อนข้างชื้น ประกอบกับเป็นเส้นทางที่เลาะไปตามเขาแต่ก็ไม่ได้มีความชันมากนัก ทำให้ความเร็วในการขับขี่เฉลี่ยประมาณ 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในช่วงเส้นทาง Milk Road เป็นเส้นทางขับขี่อยู่บนสันเขาทำให้เห็นทัศนียภาพทั้งสองข้างทางแบบพานอราม่า  ต้นหญ้าข้างทางเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองสวยงามมาก และที่นี่เองก็จะเป็นฟาร์มปศุสัตว์ที่ชาวเมืองใช้เลี้ยงม้าและวัวกัน

เราเดินทางไปถึงจุดจอดรถบนยอดสุดของเทือกเขาอะโสะ ซึ่งที่นี่ก็เป็นเหมือนแหล่งชุมนุมของผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่จะมีรถสวยๆ ขับขี่ขึ้นมาบนนี้กันอยู่ตลอดเวลาทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ จากจุดนี้นักท่องเที่ยวสามารถเดินเท้าเข้าไปชมปากปล่องภูเขาไฟได้แต่ก็ต้องใช้เวลาเดินเท้าไปอีกไม่ต่ำกว่า 50 นาที

หลังจากพักเปลี่ยนอิริยาบถ ได้ถ่ายรูป หาซื้อของฝากก็เตรียมตัวเดินทางต่อเข้าที่พักของเราที่อะโสะฟาร์มห่างจากภูเขาไฟอะโสะไปประมาณ 70 กิโลเมตรใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง

ระยะทางในการขับขี่วันนี้เป็นระยะทาง 203 กิโลเมตร ถือว่าไกลที่สุดของทริปนี้ แต่เป็นการขับขี่ที่สนุกมาก ได้ขับขี่ทั้งทางในเมือง ทางด่วน และทางขึ้น-ลงเขา ได้ใช้สกิลกันหลากหลาย

อะโสะ-ช่องเขาทาคาชิโฮะ-สะพานโคโคโนเอะยูเมะ-เมืองเบปปุ

การเดินทางในเช้าวันที่ 3 ของเราต้องเจอกับสภาพอากาศที่แปรปรวนอยู่พอสมควรมีฝนตกลงมาและอุณหภูมิต่ำอยู่ที่ประมาณ 5-7 องศาทีมงานทั้งหมดจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปยังช่องเขาทาคาชิโฮะโดยรถบัสเพื่อที่ช่วงบ่ายเราจะได้ขับขี่กันสบายขึ้น

เราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงก็มาถึงยังช่องเขาทาคาชิโฮะ อากาศหนาวเย็น และทิวทัศน์ที่นี่สวยงามมากซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่นัดท่องเที่ยวให้ความสนใจ

ช่องเขาทาคาชิโฮ (高千穂峡, Takachiho-kyō) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ทาคาชิโฮะ เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีชื่อเสียงของจังหวัดมิยาซากิ (Miyazaki) อยู่ไม่ไกลกับภูเขาไฟอะโซะ (Aso) ซึ่งเกิดจากรอยแตกของภูเขาที่มีแม่น้ำโกคาเซะ (Gokase) ตัดผ่าน 2 ข้างจะเป็นหินสูงชันเหมือนหน้าผาที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟจนมีรูปร่างคดเคี้ยวเหมือนมังกร ซึ่งจะมีน้ำตกมินาอิโนทาคิ (Minainotaki) ที่สูงถึง 17 เมตร อยู่ในช่องเขานี้ ให้วิวที่สวยงามที่ตัดกับน้ำตกที่ไหลเอื่อยๆ ลงมาที่ธารน้ำสีน้ำเงินอมเขียว กับความเขียวขจีของแมกไม้และหินสีเทา

นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเรือพายจากทางใต้ของช่องเขา แล้วพายไปตามช่องเขาบนแม่น้ำที่ไหลเอื่อยๆ เกือบนิ่ง ซึ่งจะได้ใกล้ชิดกับน้ำตกและหน้าผา หรือสามารถเดินที่ด้านบนหน้าผาบนทางที่ทำขึ้นสำหรับเดินเรียบหน้าผาของช่องเขา ที่มองลงมาจะเห็นน้ำตก ท่ามกลางป่าเขา ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรก็ได้ ซึ่งที่สุดทางเดินจะมีศาลเจ้าทาคาชิโฮด้วย

ในละแวกเดียวกันยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง เช่น พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำจืด บ่อตกปลา และร้านขายของฝาก ร้านอาหาร

หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันที่ขึ้นชื่อของที่นี่เราก็เดินทางกันต่อเพื่อที่จะกลับไปเอารถที่โรงแรมและเดินทางต่อไปยังสะพานโคโนเอะยูเมะ ใช้เวลาในการขับขี่อยู่ที่ประมาณ 1.30 ชั่วโมง

สะพานแขวนยูเมะ (Kokonoe Yume Suspension Bridge) เป็นสะพานแขวนสำหรับคนเดินที่ยาวและสูงที่สุดในโลก โดยสูง 173 เมตร และยาว 375 เมตร ใช้ผ่านช่องเขา ระหว่างทางจะมองเห็นน้ำตกขนาดใหญ่ 2 แห่ง และหนึ่งในนั้นเป็นน้ำตกที่ติด 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นด้วย คือน้ำตกชินโดโนตากิ (Shindonotaki) และจะมีลมพัดเย็นตลอดทางเนื่องจากอยู่ระหว่างช่องเขาที่เขียวขจี เทือกเขานี้เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีสีเขียวมากที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเนื่องจากความหนาทึบของป่าในบริวณนี้ และยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามแห่งหนึ่งของเกาะคิวชูด้วย

หลังจากที่เราดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติแล้วก็เดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองเบปปุเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งบ่อน้ำร้อนซึ่งที่ตั้งของเมืองนี้จะอยู่ระหว่างภูเขาและทะเลพอดี เราเดินทางมาถึงเมืองเบปปุในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดินก็ประมาณ 5.30 น. ทำให้อุณหภูมิเย็นลงไปอีก

หลังจากที่เราได้ขึ้นห้องเปลี่ยนเป็นชุดยูกาตะเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของโรงแรมทุกคนก็ได้รับประทานอาหารร่วมกันซึ่งในเย็นวันนี้เป็นอาหารที่เค้าเรียกว่าเมนูจักรพรรดิ์

หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันตามอัธยาศัย ส่วนผมเลือกที่จะแช่ออนเซ็น และเป็นครั้งแรกที่ได้เข้าออนเซ็น ต้องบอกเลยว่าหากใครได้อ่านหรือชมสารคดีที่เกี่ยวกับออนเซ็นบรรยากาศจะเป็นอย่างที่เห็นในสารคดีเลย

ระยะทางวันนี้เราเดินทางทั้งหมด 187 กิโลเมตร วันนี้ต้องเจอกับหลายสภาพอากาศ ข้อแนะนำสำหรับวันนี้ก็คือ เราควรหาน้ำยากันฝ้าหมวกกันน๊อคมาด้วย เนื่องจากจะเกิดฝ้าที่กระจกหมวกกันน๊อคตลอดเวลาทำให้ยากต่อการขับขี่

เบปปุ-ปราสาทนาคาสึ-ฟุกุโอกะ

วันสุดท้ายของการเดินทางในทริปนี้ วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง อากาศเริ่มอุ่นขึ้น การขับขี่วันนี้ค่อนข้างที่จะสบายเพราะหลายคนได้แช่ออนเซ็นเพื่อคลายความล้าไปเมื่อตอนกลางคืน

เราเดินทางมาถึงปราสาทนาคาสึ ปราสาทนาคาสึเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่ในจังหวัดโออิตะ นาคาสึ มันถูกสร้างโดย Kuroda Kanbe ในกองทัพของ Toyotomi เป็นปราสาทที่รูปร่างเหมือนพัดกำลังพัด ดังนั้นบางครั้งจึงเรียกว่า Ougi-jou มันมีชื่อเสียงในเรื่องของคูน้ำรอบปราสาทที่เต็มไปด้วยน้ำทะเล ซึ่งหาได้ยากในญี่ปุ่น มันยังรวมอยู่หนึ่งในสามปราสาทที่ยิ่งใหญ่ที่มีคูน้ำของญี่ปุ่น หอคอยของปราสาทสร้างขึ้นในปี 1964 ภายในปราสาทมีของที่เกี่ยวกับตระกูล Okudaira รวมถึงเสื้อผ้า, เครื่องไม้เครื่องมือและหนังสือที่เขียนด้วยลายมือ จากหอคอยของปราสาทคุณสามารถมองเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามของมหาสมุทร ทางทิศเหนือของปราสาทมีรูปร่างเป็นตัวy ที่ร่องของกำแพงให้ได้เห็น มันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของก้อนหินที่เคยใช้ดั้งเดิมมีก้อนหินสี่เหลี่ยม  แต่หลังจากนั้นก้อนหินที่เคยใช้มีรูปร่างแตกต่างออกไป

หลังจากนั้นเราก็เดินทางต่อไปที่เมืองฟุกุโอกะเพื่อที่จะคืนรถที่ร้าน Rental819 กัน ถือว่าภาระกิจ Japan Passion สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีพร้อมกับความประทับใจต่างๆ มากมาย ทั้งสถานที่ที่คลาสสิกและสวยงาม บวกกับการที่ได้ขี่เจ้า Honda CB1100 ที่เป็นรถสไตล์คลาสสิกแล้วมันช่างประทับใจไม่อยากจะลืม รวมไปถึงพี่ๆ น้องๆ ผู้ร่วมทริปทั้งผู้ที่มีเจ้า CB1100 อยู่ในครอบครองเองหรือแม้กระทั่งผู้ที่ผ่านการทดสอบในกิจกรรม Honda Bigbike Riding Passion และเซเลเบรตี้ อย่างคุณเต้ปิติศักดิ์  เยาวนานนท์ พระเอกคนดัง ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ อีกทริปหนึ่ง ซึ่งเป็น Passion ที่เราทั้งหมดได้ค้นหาร่วมกัน

ต้องขอขอบคุณ Honda Bigbike Thailand ที่ได้ให้เรา GreatBiker ได้ออกไปตามหา Passion สุดเจ๋งแบบนี้ และขอบคุณ บริษัทเอ.พี.ฮอนด้า จำกัด ที่ได้ดูแลเราเสมอมา เชื่อว่าการเปิดประสบการณ์ครั้งนี้จะสร้างวัฒนธรรมการขับขี่ของใครอีกหลายต่อหลายคนในอนาคตต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ www.hondabigbike.com หรือทางแฟนเพจ www.facebook.com/hondabigbikeTH