Banner-Yamaha-Fazzio-X-Fila-2024-1150x250.gif
Banner-Yamaha-Fazzio-X-Fila-2024-400x300.gif

Harley-Davidson เปิดตัว Softail Fat Bob 2018 ฉีกลุคส์เดิมไปอย่างชัดเจน

Untitled-1

หลังจากที่มีการเปิดเผยภาพและสเปคของรถครูเซอร์รุ่นใหญ่คันล่าสุด จากค่ายระดับตำนานอย่าง Harley-Davidson นั้นก็สร้างความฮือฮากันในวงกว้าง เพราะว่าเจ้า Softail Fat Bob 2018 นั้นมีการออกแบบที่ถือว่าแตกต่างไปจากขนบธรรมเนียมเดิมๆ ของทางค่ายอย่างชัดเจน ซึ่งก็มีเสียงแตกออกเป็นสองเสียงทั้งชอบมันเอามากๆ กับคิดว่ามันดูไม่ค่อยจะเหมือนฮาร์เล่ย์เท่าไหร่นัก

สำหรับโมเดล Softail Fat Bob 2018 นั้น ทางค่าย Harley-Davidson ได้ออกมาให้ความเห็นว่ามันเป็นความท้าทายและแรงบันดาลใจใหม่ๆ อย่างเต็มเปี่ยมสำหรับโมเดลนี้ โดยที่ทีมงานผู้ออกแบบนั้นต้องการจะปรับลุคส์ของตัวรถให้มีดูมีความคล่องตัวและโมเดิร์นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และพร้อมจะน้อมรับเสียงวิจารณ์ที่ตามมาในอนาคตนี้ อย่างไรก็ตามเจ้าสัตว์ประหลาดคันนี้มันจะเป็นรถที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของค่าย Harley-Davidson ในแนวครูเซอร์ประจำปี 2018

harley-davidson, fat bob, softail

Harley-Davidson Softail Fat Bob 2018 โดยรวมแล้วยังคงถือว่าเป็นรถในแนวครูเซอร์อย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเป็นท่านั่งและนิสัยคาแรกเตอร์ของตัวรถ แม้ว่าหน้าตามันจะมีกลิ่นอายของความล้ำสมัยผสมผสานเข้าไป โดยมาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบสูบ V-twin อันเป็นเอกลักษณ์ของทางค่าย ในชื่อเครื่องยนต์อย่างเป็นทางการว่า Milwaukee-Eight 107ci ขนาด 1,746cc แบบ 4 วาล์วต่อสูบ พร้อมกับติดตั้งระบบเคาท์เตอร์บาลานเซอร์ ที่จะช่วยลดการสั่นสะเทือนของระบบขับเคลื่อน โดยทางค่ายเองนั้นอ้างว่าตัวรถจะเร็วขึ้นกว่าเดิมถึง 10% ในการไต่ความเร็วย่าน 0-60 ไมล์ / ชั่วโมง ซึ่งเหนือกว่าเครื่องยนต์ Twin Cam 103 ที่ใช้ในรุ่นก่อนหน้านี้ ในส่วนของการออกแบบเฟรมแบบท่อนั้น มีการดีไซน์ใหม่ให้แข็งแกร่งกว่าเดิม แต่กลับสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าเดิมถึง 33 ปอนด์ด้วยกัน

harley-davidson, fat bob, softail, fuel tank

สำหรับในส่วนของระบบกันสะเทือนนั้น ทางค่ายเลือกใช้ Showa Dual Bending Valve (SDBV) ที่ได้รับการยกย่องและยอมรับในระดับสากล สำหรับความเหมาะสมที่จะใช้ในการขับขี่ท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งก็ตรงกับแนวทางของตัวรถอยู่พอดี ซึ่งนอกจากมันจะสามารถซับแรงสะเทือนได้ดีแล้ว มันยังคงทำให้ผู้ขับขี่นั้นควบคุมรถและแฮนด์ได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยรวมแล้วนับว่าน่าสนใจเอามากๆ ว่าเมื่อมันวางจำหน่ายไปได้สักพักแล้ว ยอดขายของมันจะเป็นอย่างไรบ้าง กับราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 560,000 บาท (ในสหรัฐอเมริกา) โดยหากต้องการระบบเบรก ABS ติดตั้งเพิ่มเติมนั้นก็สามารถเพิ่มเงินได้อีกราวๆ 26,500 บาทเป็นออพชั่นเสริม

ก็จะต้องบอกว่าการปรับเปลี่ยนของค่าย Harley-Davidson ในครั้งนี้เป็นก้าวที่น่าสนใจอย่างมีนัยสำคัญ เพราะดูเหมือนกับว่าทางค่ายเองต้องการขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดกลุ่มใหม่ๆ ซึ่งรวมไปถึงกลุ่มไบค์เกอร์ที่มีอายุอยู่ในช่วงที่น้อยลงกว่าฐานลูกค้าเดิม เรามาลุ้นไปด้วยกันว่าทางค่ายเองนั้นจะเจาะตลาดกลุ่มใหม่ได้ขนาดไหน รวมไปถึงการรักษาฐานลูกค้าเดิมสำหรับเหล่าโมเดลใหม่ๆ ที่จะออกนับจากนี้ไปอีกหลายโมเดลด้วย

ขอบคุณภาพจาก cycleworld.com