Banner Yamaha FINN SP 2024 1150x250
Banner Yamaha FINN SP 2024 400x300

Honda CBR250RR ขายไทยแน่นอน 100% มาเจาะลึกรหัส RR แห่งความแรง และวิเคราะห์ราคากัน

blank

เรียกได้ว่าสิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับ Honda CBR250RR รถสปอร์ตแฟริ่งคันเก่งจากทางค่ายปีกนก ที่เตรียมจะเปิดตัวบ้านเราในงาน Motor Show 2019 ปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยจะเป็นการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นทั้งคัน ซึ่งเราจะมาวิเคราะห์ราคากัน พร้อมทั้งเหตุผลประกอบว่าทำไมถึงจะต้องเป็นราคานี้?

ก่อนอื่นเลยในประเด็นนี้เชื่อว่ามีทั้งคนที่ทราบและยังไม่ทราบแน่ชัด กับรหัส RR ของ Honda ที่ย่อมาจาก Race Replica หรือแปลให้เข้าใจง่ายๆ ว่ามันคือรถสเปกสำหรับการแข่งขันในสนามนั่นเอง เหมือนกับ CBR600RR และ CBR1000RR ซึ่งไม่ได้เป็นรถแมสหรือว่ารถที่เน้นยอดขายแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการที่ทาง Honda เองนั้นได้ตั้งใจทำมาเพื่อการแข่งในสนามเป็นหลัก และขายให้กับผู้ที่ชื่นชอบความเป็นรถสปอร์ตอย่างเต็มตัว แต่ที่ทำมาในคลาส 250cc ก็เพื่อให้มันสามารถแข่งขันในรายการแข่งบางรายการ อย่างปัจจุบันการแข่งขันอย่างรายการ ARRC ก็ใช้รถรุ่นนี้อยู่ในคลาส Asia Production 250cc หรือ AP250 แต่เทคโนโลยีและฟีเจอร์ต่างๆ นั้นเหนือกว่ารถ CC ที่สูงกว่านี้หลายๆ คันที่วางขายกันทั่วไปในท้องตลาดอย่างแน่นอน

2181108-cbr250rr_01__

ด้วยเครื่องยนต์แบบ DOHC 4 จังหวะ 8 วาว์ล ขนาด 249.7 cc แบบ 2 สูบเรียง ให้แรงม้าสุงสุดที่ 38 PS และทอร์คหรือว่าแรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 23 นิวตันเมตร สำหรับเวอร์ชั่นญี่ปุ่นที่จะถูกนำเจ้ามาขายกันในบ้านเรา แต่สิ่งที่อยากจะให้สังเกตดูก็คือ Redline ของ CBR250RR ที่จะอยู่สูงมากถึง 14,000 รอบต่อนาที และรอบสูงสุดอยู่ที่ 16,000 รอบต่อนาที เมื่อเทียบกับ CBR500R 2019 เวอร์ชั่นล่าสุดที่จะตัดรอบเครื่องที่ประมาณ 9,000 รอบต่อนาทีเท่านั้น ดังนั้นจากตัวเลขตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าเจ้า CBR250RR นั้นแม้ว่าทั้งทอร์คและแรงม้าจะน้อยกว่า CBR500R เพราะว่ามี cc ที่น้อยกว่า แต่มันลากรอบได้ลึกกว่าเยอะมาก ตรงนี้ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่สำคัญมากๆ ของรถแข่งในสนาม

รวมไปถึงฟีเจอร์ต่างๆ ของตัวรถ ที่เรียกได้ว่ายัดมาเต็มสูบ ไล่ไปตั้งแต่ระบบกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับ Upside Down ส่วนด้านหลังเป็นแบบอลูมิเนียมบานาน่าสวิงอาร์ม Pro-Link ที่สามารถปรับระดับได้ถึง 5 ระดับด้วยกัน ระบบเบรกนั้นด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกแบบไฮดรอลิก 2 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นแบบไฮดรอลิก 1 ลูกสูบ ตัวเฟรมรถจะเป็นแบบเฟรมเหล็กแบบใหม่ ที่ให้น้ำหนักเบาแต่ว่าทนทาน แฮนด์รถจะเป็นแบบคลิปออนจับโช้ก ท่อที่เราเห็นว่าเป็นแบบปลายคู่นั้น เป็นท่อจริงทั้ง 2 ปลายไม่ใช่ท่อหลอกเพื่อความสวยงามแต่อย่างใด พร้อมด้วยระบบไฟแบบ LED รอบคัน มิติตัวรถนั้นโดยรวมถือว่ามีขนาดที่ใกล้เคียงกับ CBR500R ในขณะที่ถังน้ำมันนั้นถูกจุมาให้อยู่ที่ 14.5 ลิตร ซึ่งถือว่าเหลือๆ สำหรับรถในคลาสนี้

และไฮไลท์สำคัญของ CBR250RR นั้นก็คือ โหมดในการขับขี่ ที่ทำงานร่วมกับคันเร่งไฟฟ้า Ride by Wire ซึ่งตรงนี้เป็นที่มาของสโลแกนหลักของตัวรถที่ว่า “TOTAL CONTROL” โดยโหมดในการขับขี่นั้นจะมีอยู่ 3 โหมดด้วยกันประกอบไปด้วย Comfort, Sport และ Sport + โดยที่โหมด Comfort นั้นจะเป็นโหมดมาตรฐานของตัวรถ โดยที่กำลังของตัวรถจะถูกดรอปลงมา เน้นการขับขี่ทั่วๆ ไป ในเมือง ในชีวิตประจำวันวัน ในขณะที่โหมด Sport และ Sport + จะเปิดกำลังให้มากที่สุดตามประสิทธิภาพของตัวรถเลย เพียงแต่ว่าโหมด Sport นั้นจะมีการไต่ความเร็วที่ราบลื่นนุ่มนวลกว่า ซึ่งอาจจะใช้สำหรับการออกทริปท่องเที่ยว เดินทางในระยะไกล แต่โหมด Sport + จะอัดกันเต็มกำลังในแต่ละเกียร์เลย ซึ่งแน่นอนว่ามันจะไม่นุ่มนวลเท่าไหร่ แต่รับรองว่าฟีลลิ่งแบบรถมาเต็มอย่างแน่นอน โดยโหมดนี้ก็จะเน้นใช้สำหรับการแข่งขันในสนามเป็นหลัก ซึ่งแน่นอนว่าอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละโหมดที่มีมาให้เลือก

จากผลการทดสอบก่อนหน้านี้ ที่จะต้องขออ้างอิงมาจากสื่อทางฝั่งอินโดนีเซียและญี่ปุ่น ของรถ CBR250RR คันนี้ ได้ระบุไว้ว่าตัวรถเองนั้นมีขุมกำลังที่น่าพึงพอใจเอามากๆ การคอนโทรลและการควบคุมรถทำได้ดี สามารถเข้าโค้งในความเร็วสูงได้อย่างมั่นใจ และในเรื่องของโหมดการขับขี่ที่มีมาให้เลือกนั้น ก็สามารถสร้างความแตกต่างในแต่ละโหมดได้อย่างชัดเจน เช่นการเลือกใช้โหมด Sport+ เองก็รู้สึกได้ถึงแรงบิดและพละกำลังที่ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่กว่าโหมดอื่นๆ ตัวแฟริ่งออกแบบเน้นในการทำเอโร่ไดนามิกเป็นอย่างดี ท่านั่งในการขับขี่ก็มาในรูปแบบของรถสปอร์ตเรพลิก้าอย่างเต็มตัว

kvxcut.jpg

โดยเวอร์ชั่นที่วางขายกันในประเทศญี่ปุ่นนั้น จะมีความแตกต่างไปจากเวอร์ชั่นอินโดนีเซีย อย่างในเรื่องของตัวเลขแรงม้าและทอร์ค ที่จะน้อยกว่าเล็กน้อย ในระดับของจุดทศนิยมเท่านั้น แต่ในส่วนของไฟเลี้ยว เวอร์ชั่นญี่ปุ่นจะมีไฟเลี้ยวแบบแยกชิ้นออกมาด้านข้าง ในขณะที่ทางฝั่งอินโดนีเซียนั้น จะฝังเข้าไปอยู่ในชุดไฟหน้าเลย รวมไปถึงสเปกของยางรถที่มีความแตกต่างกันด้วย โดย CBR250RR ที่วางขายในญี่ปุ่นนั้น จะมี 2 เวอร์ชั่นด้วยกันก็คือ เวอร์ชั่นแบบไม่มี ABS จะวางขายกันอยู่ที่ 756,000 เยน หรือแปลงเป็นเงินไทยก็ประมาณ 214,000 บาท และเวอร์ชั่นที่มี ABS จะขายกันอยู่ที่ 828,360 เยน หรือประมาณ 235,000 บาท ซึ่งหากเทียบสัดส่วนตรงนี้แล้ว จะพบว่ามีราคาที่สูงกว่าทางฝั่งอินโดนีเซียอยู่พอสมควรเลยทีเดียว (ซึ่งรถจากทางประเทศญี่ปุ่นบางรุ่นนั้น มักจะมีราคาที่สูงกว่าที่จำหน่ายกันในประเทศอื่นบางประเทศ ในรุ่นเดียวกันอยู่แล้ว)

ดังนั้นการที่ประเทศไทยเรานั้น จะนำเอา CBR250RR เข้ามาจากญี่ปุ่นทั้งคัน เราก็ต้องอ้างอิงจากเรทราคาของประเทศญี่ปุ่นนั่นแหละ ซึ่งต้องชี้แจงไว้ก่อนว่า การนำเข้าครั้งนี้ เป็นการดำเนินการของทาง A.P. Honda โดยตรง ไม่ได้เป็นการที่ดีลเลอร์ตัวแทนจำหน่าย สั่งออเดอร์กันเข้ามาเองอย่างที่บางคนเข้าใจ โดยในปัจจุบันนี้การนำเข้าสินค้ามอเตอร์ไซค์จากญี่ปุ่นมาไทยนั้น ไม่มีภาษีนำเข้าแล้ว ก็เท่ากับว่าเป็น 0% แต่แน่นอนว่ามันจะยังคงมีค่าขนส่งค่าอื่นๆ อีกอยู่บ้าง ดังนั้นราคาที่ขายกันในประเทศไทยนั้น ก็มีโอกาสที่จะแพงกว่าราคาที่ขายกันในญี่ปุ่นอยู่ประมาณหนึ่ง เราลองยกตัวอย่างเทียบดูง่ายๆ อย่างเช่น CBR1000RR จากทางค่ายเดียวกันนั้น ราคาในประเทศญี่ปุ่นสำหรับรุ่นเริ่มต้นขายกันอยู่ที่ 2,014,200 เยนหรือประมาณ 571,000 บาท แต่เมื่อนำเข้ามาขายกันในไทยจะขายกันอยู่ที่ 643,000 บาท ซึ่งมีส่วนต่างอยู่ถึงประมาณ 70,000 บาท ดังนั้นแล้ว CBR250RR ราคาเริ่มต้นสำหรับรุ่นไม่มี ABS ในบ้านเราก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 220,000 – 230,000 บาทบวกลบ และราคาสำหรับรุ่นที่มี ABS ก็น่าจะอยู่ในเรทราคาประมาณ 240,000 – 250,000 บวกลบ (ซึ่งในขณะนี้เรายังไม่ทราบว่าจะมาทั้ง 2 รุ่นเลยหรือเปล่า หรือว่าจะเอามาแค่รุ่นที่มี ABS เพียงแค่รุ่นเดียว)

ดังนั้นแล้วใครที่คาดหวังว่าราคามันจะสูสีกับพวกรถสปอร์ตแฟริ่งในคลาส 250-300 ปกติที่ขายกันในบ้านเรา ตรงนี้อาจจะมีผิดหวังกันบ้าง แต่ถ้าได้อ่านรายละเอียดและความพิเศษทั้งหมดของตัวรถอย่างที่เราเขียนมา และลองเทียบราคากับที่ขายทางญี่ปุ่นดู ก็จะเข้าใจในประเด็นนี้ได้ การทำตลาดครั้งนี้ของ A.P. Honda ก็คงจะไม่ได้เน้นยอดขายให้มันเปรี้ยงปร้างหวือหวาสักเท่าไหร่นัก แต่เป็นการนำเข้ามาขายตามกระแสเรียกร้องที่มีอย่างถล่มทลายของเหล่าไบค์เกอร์ชาวไทยกันมากกว่า และถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถสเปกเดียวกับรถแข่งในรหัส RR ที่เหนือกว่ารถสปอร์ตแฟริ่งในคลาสใกล้เคียงกันทั่วไป เปรียบให้เห็นภาพง่ายๆ ว่าทำไม YZF-R6 และ ZX-6R ถึงแพงกว่าทั้ง CBR650R และ Ninja 650 ทั้งๆ ที่กลุ่มหลังมีจำนวน cc เยอะกว่า หรือจะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนกับรถยนต์ทั่วๆ ไปกับรถซุปเปอร์คาร์ที่แม้ cc จะใกล้เคียงกัน แต่ราคาก็ต่างกันมากอยู่ ด้วยรายละเอียดต่างๆ ของตัวรถ

ทาง GreatBiker มองว่า การนำเข้ามาขายครั้งนี้ในประเทศไทย ถือว่าเป็นโอกาสดีสำหรับไบค์เกอร์ชาวไทยที่จะได้สัมผัสสุดยอดรถแข่งสเปกเดียวกับที่ใช้ในสนาม แม้ว่าราคามันอาจจะสูงกว่าที่หลายๆ คนคาดคิดกันไปนิด เมื่อเทียบกับ cc ของตัวรถเพียงอย่างเดียว แต่หากจะมองในแง่คุณค่าของตัวรถ ที่นำเข้าจากญี่ปุ่นแบบ 100% ทั้งคัน จะซื้อมาขี่ซื้อมาสะสมก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจทั้งนั้น เพราะในอนาคตเรายังไม่อาจทราบได้ว่า จะมีการนำเข้ามาอย่างนี้อีกหรือเปล่า ส่วนใครที่อยากจะเห็นตัวเป็นๆ หรือจับจองกัน ก็ไปเจอกันได้ที่งาน Motor Show ในวันที่ 27 มีนาคมนี้เป็นต้นไป